18 August 2014

[Review] Microsoft Surface 2 RT - Windows Tablet รุ่นที่ 2 จาก Microsoft

Updated on

        ช่วงนี้มีบทความรีวิวที่ดองไว้เยอะมากจนเจ้าของบล็อกหาเวลาเขียนไม่ได้ซะที ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Microsoft Surface 2 ที่เจ้าของบล็อกไปได้มาใช้ฟรีๆ (ได้มาจากการประกวดเขียนแอปพลิเคชัน) โดยเจ้าของบล็อกได้มาใช้ คือตัวที่เป็น RT นะ ไม่ใช่ Pro (น่าเศร้าแท้ เพราะอยากได้ Pro ใจจะขาด)


        สำหรับ Microsoft Surface จะแบ่งออกเป็นสองรุุ่นหลักๆด้วยกัน คือ RT และ Pro โดยที่ RT จะเป็น Tablet Style สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันผ่าน Windows Store เท่านั้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows RT (ล่าสุดเป็น Windows RT 8.1) ไม่รองรับพวกไฟล์ exe, msi หรืออื่นๆได้

        แต่สำหรับรุ่น Pro นั้นเปรียบเสมือน Notebook ตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเป็น Windows 8.1 Pro ดังนั้นรองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันจาก Windows Store และยังสามารถลงโปรแกรมต่างๆบนคอมได้ปกติ ซึ่งทั้งสองรุ่นนั้นก็จะมีสเปคที่แตกต่างกันสิ้นเชิงเช่นกัน

        สำหรับรุ่น RT จะเรียกกันว่า Surface 2 (ต่อไปขอเรียกแบบนี้) และรุ่น Pro จะเรียกกันว่า Surface Pro 2 โดย Surface 2 นั้นทำมาเป็น Tablet Style เพื่อเข้าตีตลาด Tablet แข่งกับ Android Tablet และ iPad เป็นหลัก ใช้ CPU เป็น ARM เพื่อรองรับการทำงานประมาณหนึ่งแต่สามารถใช้งานได้นาน ส่วน Surface Pro 2 ก็จะเป็น CPU ของ Intel ไปเลย โดยสเปคคล้ายกับ Ultrabook นั่นแหละ


สเปคโดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง?

        สำหรับสเปคของเจ้า Surface 2 ก็จะเป็นดังนี้

        • Operation System : Windows RT 8.1

        • CPU : NVIDIA Tegra 4 - Quad Core CPU 1.71 GHz

        • RAM : 2GB

        • ROM

                32/64 GB (เจ้าของบล็อกใช้ 32 GB เหลือพื้นที่ให้ใช้งานจริง 11.3 GB)

                • รองรับ Micro SD Card ถ้าหา UHS-1 Class ความจุซัก 64 GB ก็แจ่มเลย

        • Display : 10.6" Clear Type Display 1920x1080 px (16 : 9) Multitouch 5 จุด

        • Sensor

                • Dual microphones

                • Accelerometer

                • Gyroscope

                • Magnetic Sensor

                • Ambient Light Sensor

                • GPS

        • Camera

                • Front

                        • ความละเอียด 3.5 MP

                        • รองรับการบันทึกวีดีโอ 1080p

                        • Fixed Focus

                • Back

                        • ความละเอียด 5.0 MP

                        • รองรับการบันทึกวีดีโอ 1080p

                        • Fixed Focus

        • Connectivity

                • WiFi 802.11 a/b/g/n + MIMO

                • Bluetooth 4.0

                • USB 3.0

                • Micro HDMI

        • Dimension : 27.5 x 17.3 x 0.89 เซนติเมตร

        • Weight : 676 กรัม

        • Other

                • Microsoft Office 2013 RT (Word, Excel and Powerpoint)

                • Touch Cover/Type Cover (Optional)

                • 2 Microphones

                • 3.5mm Audio Jack + Microphone

                • Dolby Stereo Audio Speaker

                • Magnetic Power Supply 24W



ลักษณะรูปร่างของตัวเครื่อง

        ขอข้ามในส่วนของ Unboxing เลยนะ เพราะคิดว่าไม่ได้สำคัญอะไรมากนักกับการแกะกล่องโชว์

        สำหรับตัวเครื่องเจ้าของบล็อกคิดว่าออกแบบมาได้สวยงามดี ให้ความรู้สึกว่าเป็น Microsoft ไม่น้อย ตัวเครื่องมีอยู่สีเดียวคือด้านหลังสีเทาและด้านหน้าเป็นสีดำ



        ด้านล่างของเครื่องเป็นช่องเสียบกับคีย์บอร์ด Type Cover หรือ Touch Cover มีช่องริมซ้ายและขวาเป็นขั้วแม่เหล็ก ขั้วตรงกลางเป็นขั้วเชื่อมต่อข้อมูลกับคีย์บอร์ด




        ฝั่งซ้ายของตัวเครื่อง



        ไล่จากข้างบนลงล่างจะเป็นช่องลำโพงฝั่งซ้าย ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm แล้วก็ปุ่มเพิ่มลดเสียง



        ถัดลงมาก็จะเป็นขาตั้งของตัวเครื่อง จะเห็นว่ามีร่องให้ง้างออกเพื่อตั้งขาตั้งได้



        ทีนี้มาดูฝั่งขวามือของเครื่องกันต่อ



        เรียงลงมาก็จะเป็น ลำโพงฝั่งขวา ช่องต่อ Micro HDMI และ USB 3.0



        ถัดมาเป็นช่องชาร์จไฟที่มีขั้วเป็นแบบแม่เหล็กคล้ายๆกับ Macbook เสียบกลับหัวท้ายได้



        สำหรับด้านหลังเครื่องก็จะเป็นสีเทามีโลโก้ Surface เด่นสง่า




        ที่ด้านหลังข้างบนตรงกลางจะเป็นรูกล้องหลังแล้วก็มีรูไฟแสดงสถานะการใช้กล้องแล้วก็รูไมค์ตามลำดับ



        และด้านหน้าตรงกลางข้างบนของตัวเครื่องก็จะคล้ายๆกัน กล้องหน้า ไฟแสดงสถานะกล้อง รูไมค์ และมีเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างก็คือรูสำหรับปรับแสงหน้าจอ (Ambient Light Sensor)



        สำหรับ Ambient Light Sensor จะมองเห็นยากหน่อย ต้องมองย้อนแสงถึงจะเห็น



        สำหรับขาตั้งอาจจะง้างยากพอสมควร แนะนำให้งัดจากฝั่งที่มีร่องให้ (ขวามือของตัวเครื่อง) โดยขาตั้งใน Surface 2 จะสามารถปรับได้สองระดับ




        เมื่อกางขาตั้งออกจะมีช่องใส่ Micro SD Card อยู่ด้านหลังฝั่งขวามือของเครื่อง





        ใต้ขาตั้งก็มีสัญลักษณ์ อย. เอ้ย! มาตรฐานต่างๆนานาบลาๆสารพัดนึก


        ปุ่ม Home ที่เป็นรูปสัญลักษณ์ Microsoft ก็เป็นแบบ Soft Key ที่สามารถกดแทนปุ่ม Power เพื่อเปิดหน้าจอได้ (แต่กดเพื่อปิดกับเปิดเครื่องไม่ได้นะ) และเมื่อกดปุ่มนี้ เครื่องก็จะสั่นเล็กน้อยเพื่อให้รู้ว่ากดปุ่ม



        สำหรับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟจะต่างจาก Tablet นะครับ เพราะว่าตัวนี้ไม่ได้ใช้ไฟ 5V แต่เป็น 24W หรือก็คือ 12V 2A (Tablet ทั่วไปเป็น 5V 2A หรือ 10W) ดังนั้นเลิกพูดถึงการชาร์จไฟจาก Power Bank ได้เลย



        ส่วนขั้วแม่เหล็กจะมีขั้วต่ออยู่ 5 ขั้ว โดยขั้วหัวท้ายจะสูงกว่าเล็กน้อย






เห็นชัดในที่มีแสงมาก และไม่เสียสายตาในที่มืด ด้วยจอ Clear Type Display

        ปํญหาเรื่องหน้าจอที่เจ้าของบล็อกเจออยู่บ่อยๆเวลาใช้งาน Smartphone หรือ Tablet ก็ตาม นั่นก็คือเรื่องความสว่างของหน้าจอ (เห็นเจ้าของบล็อกนั่งอยู่หน้าคอมเกิน 10 ชั่วโมงอยู่ทุกวัน ก็ดูแลเรื่องสายตาเหมือนกันนะเออ)

        เครื่องที่หน้าจอสว่างสู้แสงได้ดีก็ดันมีปัญหาเวลาใช้ในที่มืด เพราะลดความสว่างยังไงก็ยังสว่างเกินไปอยู่ดี ซึ่งทำให้เสียสายตาได้ ถ้าอ่านในที่มืดนานๆ และพวกจอที่หรี่ความสว่างได้ดีก็ดันไม่ค่อยสู้แสงซักเท่าไร ซึ่งบน Surface 2 ที่ใช้ Clear Type Display นี่สามารถรองรับการใช้งานทั้งในที่สว่างและในที่มืดได้เป็นอย่างดี



        สำหรับในที่มีแดดแรงก็ต้องมองจอแบบหน้าตรงบ้าง ไม่ได้สู้แสงถึงขนาดว่ามองเอียงๆก็เห็นชัดนะ



พิมพ์อย่างเมามันด้วย Touch Cover และ Type Cover

        สำหรับคีย์บอร์ดตัวเด่นของ Surface อย่าง Type Cover / Touch Cover ก็ไม่ได้แถมมาให้นะ ต้องซื้อแยก และราคาก็โหดเอาเรื่องด้วย



        Touch Cover เป็นคีย์บอร์ดแบบสัมผัส ค่อนข้างบาง แต่ Type Cover จะเหมาะกับการพิมพ์สะมากกว่า เพราะจะให้ความรู้สึกแบบคีย์บอร์ด Notebook แต่ปุ่มบางกว่าเล็กน้อย โดยเจ้าของบล็อกใช้แบบ Type Cover แทน และซื้อเป็นของ Surface รุ่นแรกแทนเพราะราคาถูกกว่า (เหลือ 2,500)



        พอลองเทียบกับคีย์บอร์ดบลูทูธของ Microsoft ที่เจ้าของบล็อกมีอยู่แล้ว รู้สึกได้เลยว่าปุ่มมีขนาดใหญ่กว่าปกติ (และใหญ่กว่าคีย์บอร์ด Notebook เล็กน้อย)



        สำหรับความรู้สึกในการพิมพ์ไม่ค่อยประทับใจซักเท่าไรเมื่อเทียบกับราคา ถึงแม้ว่าปุ่มจะเหมือนกับ Notebook ก็ตาม หรือเพราะว่าเป็นคีย์บอร์ดของ Surface ตัวแรกหว่า? แต่ก็พิมพ์ได้คล่องกว่า On-screen Keyboard นะ



        ส่วนที่เป็น Touchpad ก็ทำงานธรรดาๆได้ อย่างการเลื่อนเคอร์เซอร์ไปมาบนจอแล้วคลิก แต่พอใช้สองนิ้วสำหรับเลื่อนขึ้นลงกลับทำได้ไม่ค่อยดี ติดบ้างไม่ติดบ้าง แล้วก็พื้นที่เล็กไปหน่อยเลยไม่ค่อยถนัด (ต่อเม้าส์แทนละกัน) อ้อ อย่าลืมว่าเจ้าของบล็อกใช้คีย์บอร์ดของ Surface 1 นะ เลยบอกไม่ได้ว่าของ Surface 2 ดีขึ้นมากแค่ไหน


        ส่วนด้านหลังคีย์บอร์ดให้ความรู้สึกเหมือนกระดาษสาหรือกระดาษที่เอาไว้รองหน้าจอ Notebook เวลาซื้อเครื่องมาใหม่ๆ
       
        Type Cover หรือ Touch Cover ถือว่าค่อนข้างจำเป็นต้องมีไว้ใช้ก็ว่าได้ เพราะ On-screen Keyboard บน Windows เจ้าของบล็อกรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะดวกซักเท่าไร กินพื้นที่จอเยอะด้วย โดย Type Cover เจ้าของบล็อกสั่งมาใช้ทีหลัง ตอนแรกๆก็ต้องใช้ On-screen Keyboard ก่อน (ที่สั่ง Type Cover ก็เพราะว่าพิมพ์ไม่สะดวกนั่นแหละ) และอีกอย่างก็คือ On-screen Keyboard เปลี่ยนคีย์บอร์ดแบบ Android ไม่ได้ ดังนั้นถ้ามีส่วนไหนใช้งานไม่ถนัดก็จะรู้สึกขัดใจมากๆ และจากที่เจอก็คือภาษาไทยที่ตำแหน่งปุ่มเปลี่ยนไปจากมาตรฐาน




        สังเกตดีๆก็จะว่าคีย์บอร์ดภาษาไทยนั้นก็เป็นแบบ 3 แถว เหมือนกับภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่ปกติจะเป็นแบบ 4 แถว จึงทำให้ตัวอักษรภาษาไทยบางตัวถูกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนเดิม เพราะงั้นการพิมพ์จึงยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีก สุดท้ายก็กลายเป็นว่าต้องซื้อ Type Cover มาใช้งานอยู่ดี

        เพิ่มเติม - หลังจากที่ซื้อ Type Cover ของ Surface 1 มาใช้ได้ราวๆหนึ่งเดือน ทาง Microsoft ก็ประกาศลดราคา Type Cover ของ Surface 2 เมื่อซื้อพร้อมกับ Surface 2 โดยลดราคาถูกกว่าที่เจ้าของบล็อกซื้อมาเสียอีก..... (โดนหักหลังดังเป๊าะ)



แล้ว Windows 8.1 RT และ Software เป็นยังไงบ้าง?

        Windows เป็นของแท้ในตัวเลย โดยเป็นแบบ 32-bit ใช้สถาปัตยกรรมแบ ARM ดังนั้นจึงให้มองว่าเป็น ARM แทนละกัน เพราะว่าเป็นคนละตัวกับ x86 ส่วน RAM ที่ให้มา 2GB ที่ให้มาก็รู้สึกว่าใช้งานได้เหลือเฟือ เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมและแอปพลิเคชันบน Windows 8.1 RT นั้นไม่ค่อยกินสเปคมากนัก



        สำหรับหน่วยความจำของตัว 32GB นี้จะเหลือให้ใช้งานจริงๆแค่ 11.3GB เท่านั้น อาจจะขัดใจเล็กน้อย แต่จริงๆก็เหลือเฟือนั่นแหละ เพราะว่าลงโปรแกรมไม่ได้ ลงได้แต่แอปพลิเคชัน ซึ่งขนาดก็ไม่ได้ใหญ่เวอร์ (ยกเว้นเกมของ Gameloft) แถมมีช่อง Micro SD Card และ USB ให้ใช้งาน อยากดูหนังก็พก Flashdrive ซักตัวลงหนังไว้ในนั้นแทน และจะเห็นว่าในภาพข้างล่าง เจ้าของบล็อกได้ลองต่อกับ External DVD Writer ก็พบว่าสามารถใช้งานได้ด้วยล่ะ! กล้องดิจิตอลก็ได้ หรือต่อกับมือถือเพื่อมองเป็น MTP ก็ยังได้ (แต่ ADB ไม่ได้นะจ๊ะ เพราะไม่มี ADB Driver for ARM)




        ขอเตือนไว้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Micro SD Card นะครับ ถึงแม้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องหน่วยความจำน้อยได้ด้วยการหา Micro SD Card ซักตัวมาใส่ได้ก็จริง แต่จะมีปัญหาว่าเวลาลบไฟล์ในนั้นจะไม่ได้ลบลง Recycle Bin เหมือนกับลบจาก Harddisk นะ ดังนั้นถ้าเผลอกดลบไปแล้วก็จะหายไปเลย ซึ่งเป็นเรื่องลืมคิดไปเลยจนกระทั่งได้ใช้งานจริงๆถึงจะรู้



        ทีนี้ขอพูดเรื่องการใช้งานเสียหน่อย ถึงแม้ว่าจะรู้ๆกันอยู่แล้วเพราะว่าเป็น Windows ที่ใช้งานกันจนคุ้นเคย โดยปกติแล้วบน Windows ไม่ได้ออกแบบ UI ให้รองรับกับหน้าจอเล็กๆที่มีความละเอียดสูงซักเท่าไร ถ้ายังเคยจำกันได้ในสมัย Windows 7 ที่อยู่บน Sony Vaio เครื่องขนาด 13 นิ้ว แต่หน้าจอ 1600x900 px ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ แทบบาร์หรือตัวหนังสือจะเล็กมาก เพราะมันอิงจาก px ซึ่งต่างจากระบบของ Android ที่อิงจาก dp ที่ Optimized กับหน้าจอที่หลากหลายได้ดีกว่า พอมาถึง Windows 8 ทาง Microsoft ก็ได้มีวิธีแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้แล้ว โดยใช้วิธีขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแทนจึงแก้ปัญหา UI มีขนาดเล็กเกิน แต่ก็จะทำให้สังเกตเห็นว่าตัวระบบ Windows ก็ไม่ได้ Optimized อย่างสมบูรณ์ซักเท่าไร

        ยกตัวอย่างเป็นภาพหน้าต่าง Notification Area กับ Device Manager เปิดคู่กัน



        เมื่อลองดูดีๆจะเห็นว่า Notification Area ตัวหนังสือและภาพอื่นๆคมชัดปกติ แต่ทว่าใน Device Manger กลับไม่คมชัด เป็นภาพที่ถูกขยายให้ใหญ่ซะมากกว่า (ภาพทั้งสองนี้สเกลเท่าของจริงนะ)





Microphone and Audio

        Microphone ทั้งสองตัวของ Surface 2 จะอยู่ที่ด้านหน้าและด้านหลัง โดยอยู่บริเวณกล้องหน้าและกล้องหลัง  สามารถใช้ไมค์จากช่องหูฟังได้ และจะมี Microphone Array เป็นตัวจัดการเสียงจากไมค์หน้าและหลัง



        ส่วนเสียงนั้นก็มีให้เลือกทั้งช่องหูฟัง ลำโพงในตัวเครื่อง และผ่านสาย HDMI



        และเวลาเล่นเพลงด้วย Music Player ของตัวเครื่อง ก็จะมี Pop-up ที่มุมซ้ายบนให้เห็นแบบนี้ (ยังไม่ได้ลองกับแอปพลิเคชันเล่นเพลงตัวอื่นๆ)


        สำหรับเสียงรู้สึกว่าเบาไปหน่อย คงเพราะลำโพงอยู่ด้านหลังและเป็นแบบ Surround จึงทำให้เวลาดูหนังตามสถานที่ข้างนอกแล้วเสียงเบานิดหน่อย แต่ถ้าใช้งานอยู่ในห้องก็ถือว่าได้ยินชัดเจน



แอปพลิเคชันบนWindows RT จะเป็นอย่างไรบ้างนะ?

        สำหรับแอปพลิเคชันที่มีให้ใช้ สามารถดาวน์โหลดได้จาก Windows Store ได้เสมือน App Store หรือ Google Play Store แต่ก็มีข้อด้อยกว่าคือ มีให้ดาวน์โหลดน้อยกว่า Apple Store และ Google Play และยังขาดแอปพลิเคชันที่สำคัญๆไปอีกเยอะ  เช่น แอปพลิเคชันวาดภาพหรือทำภาพกราฟฟิค (แต่บน Android ก็ไม่ค่อยมีตัวที่ใช้ได้จริงๆเหมือนกันนะ) เท่าที่มีตอนนี้ยังไม่ค่อยโอเคซักเท่าไร แต่ก็พอมีแอปพลิเคชันที่โอเคอยู่อย่าง Fotor หรือ Microsoft Office 2013 RT ที่เป็นจุดเด่น ส่วนแอปพลิเคชันพื้นฐานอย่าง Line Twitter หรือ Facebook ก็พอมีให้ได้ใช้งานกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังขาดไปอีกหลายๆตัว (หรือเพราะว่าเจ้าของบล็อกใช้เกินชาวบ้านเค้าเนี่ย?) ส่วนเกมก็ค่อนข้างน้อย เพราะว่านักพัฒนาไม่ค่อยข้ามมา Platform นี้มากนัก แต่หลักๆก็จะมี Gameloft ที่เป็นหัวหลักหัวตอ แล้วก็มีบางเกมของ NVIDIA Tegra แต่เกมก็ไม่ได้หลากหลายมากนัก (มีให้เล่นก็ดีแล้ว)




        อย่าง YouTube ถ้าจะดูผ่านแอปพลิเคชันก็ไม่มีแบบ Official นะ เพราะลองไปดูแอปพลิเคชันจาก Google Official บนนี้ก็มีแค่ Google Search เท่านั้น สำหรับ Facebook ก็มีแค่ Facebook อย่างเดียวเลย ไม่มี Page Manager หรือ Facebook Manager ซึ่งทำให้เห็นแววว่า Windows Store ไม่เป็นที่น่าสนใจเลยสำหรับหลายๆเจ้า หรือถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับนักพัฒนามาทำแอปพลิเคชันเพื่อรองรับการใช้งานเหล่าได้เช่นกัน


        สำหรับเกมของ NVIDIA ก็เหมือนจะดองไว้ค่อนข้างนานเหมือนกัน ขนาด Dead Trigger ภาคแรกยัง Coming Soon อยู่เลย ทั้งๆที่ Platform อื่นๆเค้าได้เล่นภาคสองกันไปแล้ว ส่วน Horn ก็กะว่าจะเล่นบนนี้ซะหน่อย แต่พอเห็น Coming Soon ก็แอบเศร้าเล็กน้อย



        จอยเกมก็สามารถเอามาต่อเพื่อใช้เล่นเกมได้นะ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเกมนั้นๆรองรับหรือไม่ และสำหรับจอยเกมไม่แน่ใจว่ารองรับจอยเกม PC ทั่วๆไปหรือป่าว เพราะเจ้าของบล็อกใช้ Logitech Wireless Gamepad F710 ที่สามารถปรับเป็นจอย XBOX ได้ และที่เห็นในภาพถ่ายคู่กับจอยตอนเล่น Asphalt 8 จริงๆแล้ว Asphalt 8 บน Windows ไม่รองรับจอยหรอกนะ (แล้วจะแปะภาพทำมะเขืออะไร) แต่สวยดีเลยจับมาถ่ายคู่กันเล่นๆ ส่วนเกมที่รองรับก็มี Dungeon Hunter ส่วนเกมอื่นๆไม่ได้ลอง





        สำหรับเจ้า Windows Store ก็มีให้บ่นพอสมควร อย่างการที่ไม่มี Bookmark ให้เซฟเก็บไว้เหมือน Wishlish บน Android หรือไม่มีวีดีโอตัวอย่าง แต่ก็มีข้อดีอยู่พอสมควรอย่างเช่น สามารถทดลอใช้งานแอปพลิเคชันที่เสียเงินซื้อได้นานถึง 15 วัน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ และก็มี Bamboo ของ Wacom ที่เอาไว้จนโน๊ตหรือวาดภาพได้ประมาณหนึ่ง (Fresh Paint ก็โอเคนะ แต่ว่าเน้นวาดรูปเป็นหลัก เครื่องมือโดยรวมไม่เหมาะกับโน๊ตง่ายๆ) โดยมีทั้ง Bamboo Page และ Bamboo Paper


        Fresh Paint เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่น่าสนใจมากบน Windows เพราะทำออกมาได้ดีอย่างการระบายสีน้ำหรือสีน้ำมันเป็นต้น แต่ทว่าเจ้าของบล็อกแค่อยากวาดสีพื้นๆทับเท่านั้น มันก็ดันมีแต่แบบสีน้ำ สีน้ำมัน ปากกามาร์กเกอร์ ดินสอ และสีเทียนซะงั้น = =



        สำหรับ Programmer ก็มี Code Editor ให้ใช้อยู่เหมือนกัน ชื่อว่า Code Writer หน้าตาก็โอเคดีนะ แต่ว่าเหมาะกับ Edit ซะมากกว่า ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย น่าจะเหมาะกับการแก้โค๊ดแล้วส่งให้คนอื่น ณ ตอนนั้นซะมากกว่า ส่วนโปรแกรมที่ใช้เขียนจริงๆเท่าที่เห็นก็ยังไม่มีนะ



        สำหรับแอปพลิเคชันแต่งรูปที่ดูใช้งานได้จริงก็มี Fotor โดยที่ตัวนี้เจ้าของบล็อกใช้ทำภาพที่จะเอามาลงบทความนี้นี่แหละ ซึ่งจริงๆก็ไม่ค่อยตอบโจทย์เจ้าของบล็อกซักเท่าไร ปกติจะใช้ Photoshop ซะมากกว่า เพราะตัวนี้ได้แค่แต่งโทนสีภาพ ย่อ ตัด และใส่ข้อความเล็กๆน้อยๆ จะวาดกรอบหรือระบายสีทับเล็กน้อยก็ทำไม่ได้ (แอพที่ทำได้มันก็ดันกลายเป็นแอพวาดรูปไปเลย)



        และจุดชูโรงของ Surface ก็คือ Microsoft Office ของแท้ที่มากับเครื่องเลยนั่นเอง ซึ่งเจ้านี้จะช่วยตอบโจทย์ให้กับกลุ่มผู้ใช้งานทำเอกสารต่างๆได้อย่างดี ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบ 2013 RT ก็ตาม แต่ก็ทำได้เหมือนกับปกติเลย ทั้ง Word Excel และ Power Point แต่ถ้าใครใช้มากกว่านั้นก็ไม่มีให้นะ



        และสามารถลงฟอนต์เพิ่มเติมได้ ซึ่งจริงๆมีพวก Cordia New หรือ Angsana New ก็ถือว่าเป็นอะไรที่โอเคแล้วนะ พอเพิ่มฟอนต์เข้าไปได้เองก็ยิ่งเป็นจุดเด่นหลักของ Surface 2 เลยทีเดียว เพราะงั้นงานเอกสารที่ต้องการใช้งานบางฟอนต์ก็สามารถหามาลง (แต่เจ้าของบล็อกก็ไม่สนับสนุนการใช้ฟอนต์ละเมิดลิขสิทธิ์นะ)




        แต่เรื่องน่าเศร้าอย่างหนึ่งสำหรับขาท่องเว็ป เพราะว่าจะต้องใช้ Internet Explorer หรือ IE สำหรับเข้าเว็ปต่างๆ!!! เลิกฝันถึง Firefox หรือว่า Google Chrome ไปได้เลย เพราะว่าเป็น Windows 8.1 RT จึงไม่สามารถโหลดโปรแกรมที่เป็น EXE มาติดตั้งได้ ดังนั้นจึงต้องจำใจใช้ IE อย่างเลี่ยงไม่ได้ แถมมีทั้งแบบ IE ที่เป็นแอปพลิเคชันและแบบ Desktop แยกกันอีก

 


        โดยที่ IE จะไม่รองรับ Flash Player ซึ่งอันนี้ไม่มีปัญหาซักเท่าไรนัก เพราะบน Android และ iOS ก็เหมือนๆกัน แต่ดันไม่รองรับ Java Runtime บนนี้ด้วย จึงทำให้บางเว็ปที่ใช้ JRE ทำงานไม่ได้ ส่วนการทำงานนอกเหนือจากนั้นที่ IE ไม่รองรับ ก็มี Compability Mode ให้ใช้งาน จึงสามารถรองรับกับหลายๆเว็ปได้อย่างไม่มีปัญหา




        แต่ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเปิด URL ใดๆบนแอปพลิเคชันเช่น Facebook มันก็จะเปิด IE ที่เป็นแอพให้ทันที แต่เจ้าของบล็อกอยากเปิดดูแบบ Desktop มากกว่า ก็ต้องไปกดให้มันเปิดบน Desktop อีกที (แถมต้องกดปิดทิ้งเองอีก) ก็เลยทำให้รู้สึกไม่ค่อยสะดวกซักเท่าไร



        แต่การเปิดแอปพลิเคชันพร้อมกันสองหน้าจอก็สะดวกดีนะ สามารถทำบางอย่างควบคู่กันไปได้ อย่างเช่นดูหนังไปเล่น Facebook ไป เป็นต้น




ต่อจอแยกดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมได้ง่ายๆ

        สามารถต่อจอแยกได้อย่างง่ายดาย แต่ที่ต่างจาก Tablet อย่าง Android หรือ iOS ก็คือสามารถตั้งค่าอีกจอได้ตามปกติเหมือนกับบน Notebook จึงสามารถ Extend หน้าจอได้ ซึ่งบน Tablet ทั่วไปจะทำได้แค่ Duplicated เท่านั้น ดังนั้นเมื่อต่ออุปกรณ์ทุกๆอย่างแล้วก็เหมือนคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งนั่นแหละ



        สำหรับ Surface 2 จะมีช่อง Micro HDMI ให้ต่อเข้ากับจอต่างๆ ดังนั้นต้องหาสายแปลงจาก Micro HDMI เป็น HDMI มาใช้ (อันละไม่กี่ตัง)


        ดังนั้นถ้ามีจอแยก มี USB Hub (เจ้าของบล็อกใช้จอ Dell ที่สามารถต่อ USB เพิ่มได้อีก 4 ช่อง) ต่อเม้าส์ ต่อคีย์บอร์ดเพิ่ม และมี WiFi ในห้อง ก็ได้ PC ดีๆหนึ่งตัวแล้ว (ถ้าเป็น Pro จะเหมาะกว่านี้มากกกกกก)



ลอง Benchmark ด้วย 3D Mark

        สำหรับความแรงของสเปคก็คงเปรียบเทียบกันยากหน่อย เพราะเป็นคนละ Platform และก็ไม่มี AnTuTu ยอดนิยมเหมือน Android แต่ก็มี 3D Mark ที่รองรับทุก Platform (คอเกม PC รู้จักกันดี) ซึ่งก็ได้คะแนนตามสเปคเลย คะแนนที่ได้นั้น สูงเทียบเท่า Samsung Note Pro 12.2 เลยทีเดียว




        แต่ตลกร้ายอย่างหนึ่งที่เจ้าของบล็อกเจอก็คือ "ร้อนแล้วประสิทธิภาพจะลดลง" เนื่องจากตอน Benchmark ด้วย 3D Mark ที่ต้องทดสอบทั้ง 3 ระดับ  ซึ่งในระหว่างที่ทดสอบ Ice Storm Extreme ก็พบว่าผลคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เยอะมาก ซึ่งตอนแรกก็ตกใจมาก และเมื่อลองทดสอบใหม่ก็พบว่าคะแนนต่ำลงกว่าเดิมอีก!! จนได้ลองเอาพัดลมเป่าดูก็พบว่าคะแนนก็กลับมาเท่ากับมาตรฐานปกติของ Surface 2...... จึงสรุปได้ว่าเมื่อร้อนจะทำให้ความเร็วจะลดลงอย่างเห็นผลได้ชัด


        จากภาพ History ข้างบน ให้ดูที่ Ice Strom Extreme โดยจะเห็นว่าครั้งแรกสุดได้ 6670 และครั้งต่อมาเป็น 5161 จนสุดท้ายที่เอาพัดลมเป่าดูก็พบว่าคะแนนกลับขึ้นมาเป็น 9504 (ตูดหมึกชะมัด)



ต่อกันด้วยเรื่องกล้องบน Surface 2

        สำหรับคุณภาพกล้องบน Surface 2 อยู่ในระดับที่ว่าพอถ่ายได้ ซึ่งไม่ได้แย่มากนัก สามารถถ่ายในที่ๆมีแสงได้สวยพอสมควร โดยกล้องหลังมีความละเอียด 5MP และกล้องหน้าความละเอียด 3.5MP ซึ่งน่าจะเหมาะกับการถ่ายเพื่อใช้ทำงานเบื้องต้นมากกว่าที่จะเน้นความสวยแบบกล้องมือถือ และเวลาใช้งานก็จะมีไฟสถานะติดด้วย เพื่อให้รู้ว่ากล้องตัวนั้นๆกำลังทำงานอยู่




        แต่ทว่าตัวกล้องของ Surface 2 ทั้งกล้องหน้าและหลังนั้นเป็นแบบ Fixed Focus ไม่สามารถ Auto Focus หรือแตะที่หน้าจอเพื่อเลือกตำแหน่ง Focus ได้ เพราะ Surface 2 ดันไปวางตัวเองไว้ว่ากล้องไม่จำเป็นต้องมี Auto Focus ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมากๆ เพราะงั้นเตรียมพบเจอกับความเบลอเมื่อถ่ายภาพวัตถุใกล้ๆได้เลย






        สำหรับการถ่ายภาพทั่วไปก็ถือว่าใช้ได้พอสมควร ไม่ได้สวยมากและก็ไม่ได้ห่วยมาก








        ลองเปรียบเทียบภาพกับ Moto X ดูบ้าง














กล้อง Surface 2 เป็นโรคขาดแสงไม่ได้

        อย่างที่บอกไปในตอนแรก กล้องของ Surface 2 ไม่ได้ดีสุดขีดหรือว่าห่วยสุดใจซักเท่าไร แต่ก็มีอาการแพ้ความมืดอย่างเห็นได้ชัด คุณภาพจะลดลงไปมาก เพราะงั้นควรเลี่ยงการถ่ายในเวลากลางคืนจะดีกว่า









        ส่วนการบันทึกวีดีโอก็ได้พอสมควร ซึ่งเหมาะกับเวลาที่มีแสงเยอะมากกว่า ซึ่งตอนกลางคืนคุณภาพภาพที่ได้จะค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่มีการกระตุกหรือหน่วงของภาพแม้แต่นิดเดียว



        สำหรับแอปพลิเคชันกล้องที่มากับเครื่องก็เน้นไปที่การกดถ่ายภาพลูกเดียวเลย ไม่มีอะไรให้ตั้งค่ามากนัก แต่ก็สามารถเลือก Exposure หรือ Timer ได้ และรองรับการเลือกจุดวัดแสงได้ด้วย



        เวลาที่กดถ่ายภาพ อาจจะรู้สึกว่าถ่ายภาพช้าเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วตัวกล้องจะ Buffer ภาพไว้ให้ 15 ภาพ เพื่อให้สามารถเลือกทีหลังได้ว่าจะเอาภาพไหน




        และเมื่อเปิดดูภาพที่ถ่ายไว้ก็มี Editor เบื้องต้นให้ใช้งานพอสมควร



        สำหรับการถ่ายภาพแบบ Panorama จะสามารถถ่ายแบบรอบๆตัวเป็น Photosphere แบบ Android และ iOS ได้เช่นกัน โดยจะไม่มีเมนูแยกกัน เพราะงั้นถ้าอยากได้ Panorama ก็ให้ลากกล้องเป็นแนวยาว แต่ถ้าอยากถ่ายแบบ Photosphere ก็ลากกล้องให้รอบๆตัว




        ซึ่งการถ่าย Photosphere บนนี้ค่อนข้างง่ายกว่าบน Android และ iOS เพราะว่ามีการทำ Image Processing เพื่อหาตำแหน่งของภาพ แต่สุดท้ายรอยต่อของภาพก็ไม่ค่อยโอเคซักเท่าไร และไฟล์ที่ได้จะมีนามสกุลเป็น .pano ทั้งการถ่ายแบบ Panorama และ Photosphere ซึ่งสามารถบันทึกเป็นนามสกุล .jpg ในภายหลังได้





สามารถดูภาพตัวอย่างแบบชัดๆกันได้ที่ Microsoft Surface 2 Photo Sample on Google Drive


ภาพตัวอย่างจากกล้องหลัง











ภาพตัวอย่างจากกล้องหน้า






สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานแค่ไหน?

        เรื่องแบตเตอรีถือว่าเป็นจุดสำคัญในการเลือกซื้อมากกว่าคุณภาพกล้องเสียอีก เพราะว่าส่วนใหญ่เน้นคุณภาพกล้องที่บน Smartphone มากกว่าที่จะเน้นบน Tablet ดังนั้นก็จะสนใจที่ระยะเวลาการใช้งานซะมากกว่า


        จากการทดลองใช้งานจริง ถ้าเป็นการนำไปใช้คุยงานกับลูกค้าที่ต้องเปิดหน้าจอเพื่อพรีเซนต์งานก็จะอยู่ได้ราวๆ 7 - 9 ชั่วโมง แบตเตอรีจะลดลงราวๆ 10% ต่อ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักกว่านั้น เช่น เอามานั่งเขียนบทความนี้นี่แหละ ซึ่งต้องเปิดทั้ง IE แอปพลิเคชันต่างๆ รวมไปถึง Facebook (เอาไว้เล่นเพื่อพักสายตา XD ) ซึ่งมีการทำงานหนักพอสมควร ก็จะอยู่ที่ประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง โดยแบตเตอรีจะลดลงราวๆ 20% ต่อ 1 ชั่วโมง ถ้าดูหนังก็ดูได้นานราวๆ 3 - 6 ชั่วโมง ซึ่งขึ้นอยู่กับความสว่างของหน้าจอด้วย ถ้าเปิดสว่างมากก็แบตหมดไว


       ส่วนการเล่นเกมต่อเนื่องได้นานแค่ไหน อันนี้ไม่ได้ทดสอบ เพราะว่าตัว Surface 2 นั้นไม่เหมาะที่จะเอามาเล่นเกมส์ซักเท่าไร เพราะอย่างที่บอกในตอนแรกว่าเกมส์ค่อนข้างน้อยกว่า Platform อื่นๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเกมส์ที่ทำให้เล่นได้นานๆมากนัก แต่ก็สามารถบอกได้เลยว่าเล่นได้นานพอสมควรเหมือนกัน (ถ้ารุ่น Pro จะอยู่ในไม่นานเท่าเพราะ CPU กินพลังงานมากกว่า)



ไม่รองรับ Surface Pen ก็ใช้อย่างอื่นแทนก็แล้วกัน

       ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยที่ Surface รุ่นที่เป็น RT ทั้งหมดไม่สามารถใช้ Surface Pen ได้ ทั้งๆที่มี Fresh Paint หรือ Bamboo Paper ดีๆให้วาดเล่น ดังนั้นถ้าต้องการใช้พวกปากกาก็แนะนำให้หา Stylus Pen ดีๆซักตัวแทน อย่างเช่นเจ้าของบล็อกใช้ Jot Pro ที่วาดได้แม่นกว่า Stylus Pen ที่เป็นหัวยางนำไฟฟ้าทั่วๆไป





        ใช้แบบนี้ก็ได้นะเออ  แต่ลำบากชีวิตไปหน่อย



        และข้อดีอีกอย่างของ Jot Pro คือตัวด้ามมีช่วงที่เป็นแม่เหล็ก จึงทำให้สามารถดูดติดกับช่วงจุดต่อของ Type Cover ได้พอดี จึงไม่ต้องกลัวว่าจะกลิ้งหายไปไหน





ผลจากการใช้งาน Surface 2

        ข้อดี

        • หน้าจอ Clear Type Display แบบ Full HD ภาพชัด สว่างสู้แสงได้ และก็ปรับให้มืดได้สุดๆเหมือนกัน

        • Microsoft Office 2013 RT ใช้ทำพวกงานเอกสารหรือ Presentation ได้ดีมาก มี Desktop ที่สามารถทำงานแบบ Multitasking ได้พอสมควร จัดการไฟล์ได้สะดวก เปิด File Explorer หลายๆหน้าต่างได้พร้อมๆกัน

        • Touch Cover และ Type Cover ที่ทำให้พิมพ์ได้เมามันส์

        • แบตเตอรีใช้งานได้ยาวนาน มากพอที่จะหิ้วเจ้า Surface ออกไปข้างนอกแทน Notebook

        • รองรับการเชื่อมต่อผ่านช่อง USB ไม่ว่าจะเป็น Flashdrive หรือ External Harddisk ซึ่งรองรับการ Read/Write บน NTFS (ถ้า Android จะรองรับแค่ Read บน NTFS เท่านั้น) จะต่อเม้าส์ต่อคีย์บอร์ด หรือแม้แต่ Smartphone ซักตัวเพื่อถ่ายโอนข้อมูลก็ทำได้ เพราะรองรับ MTP รวมไปถึง Printer ด้วย (แต่เห็นบอกว่าต้องเป็นรุ่นใหม่ เพราะไม่รองรับไดรเวอร์รุ่นเก่าๆ)

        • ตัวเครื่องสวยดี วัสดุมีคุณภาพ ดูหรูกว่าชาวบ้าน

        • สามารถกางขาตั้งแล้วทำงานได้เลย ไม่ต้องใส่เคสแบบที่มีขาตั้งเหมือน Tablet อื่นๆ

        • ต่อกับจอแยกผ่านสาย HDMI ได้เลย (ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่ม) สามารถ Extends เพื่อเพิ่มพื้นที่การทำงานได้

        • สามารถติดตั้งฟอนต์เพิ่มเองได้

        • ต่อสาย LAN ได้ (ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม)

        • พกพาสะดวกด้วยน้ำหนักแค่ 600 กรัม (อาจจะดูเหมือนหนัก แต่ก็ดีกว่าต้องแบก Notebook หนัก 2 กิโลกรัม)

        • WiFi รับสัญญาณได้แรงดี


        ข้อเสีย

        • ลงโปรแกรมที่เป็นของ Desktop เพิ่มเติมไม่ได้ มีแต่แอปพลิเคชันที่ต้องดาวน์โหลดผ่าน Windows Store เท่านั้น ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่ติดภาพจำจากการใช้งานเดิมๆ พอมาใช้งานบนนี้แล้วเจอบางอย่างที่ไม่รองรับ อาจจะทำให้รู้สึกขัดใจ

        • แอปพลิเคชันที่มีให้ดาวน์โหลดใน Windows Store ที่ใช้งานได้จริงๆเป็นเรื่องเป็นราวยังมีน้อยเกินไปอยู่

        • ใช้ Power Bank ไม่ได้ และถ้าจะชาร์จก็ต้องใช้ Adapter ที่มากับตัวเครื่องเท่านั้น

        • กล้องพอใช้ได้ แต่โดยรวมไม่ค่อยปลื้มซักเท่าไร

        • หน่วยความจำน้อยไปหน่อย ถึงจะมีช่องเสียบ Micro SD Card ก็ต้องระมัดระวังตัวไม่ให้เผลอลบไฟล์ทิ้งถาวร

        • ต้องใช้ IE สำหรับท่องเว็ปเท่านั้น เพราะลง Firefox กับ Chrome ไม่ได้

        • ถ้าเป็นไปได้ ยอมลงทุนเพิ่มเงินเพื่อซื้อรุ่น Pro ดีกว่า

        • มี Bluetooth 4.0 แต่ดันไม่ค่อยได้ใช้งานอะไร เพราะอย่างมากก็แค่ต่อกับคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ไร้สายผ่าน Bluetooth อย่างดีก็เอาไว้ส่งข้อมูลระหว่างเครื่องอื่นๆ ซึ่งยังไม่เห็นแอปพลิเคชันตัวไหนที่มีลูกเล่นใช้งานกับ Bluetooth เหมือนอย่างบน Android และ iOS

        • หน่วงๆ ค้างๆ เป็นบางครั้งเมื่อใช้เข้าเว็ปต่างๆ (ตอนพิมพ์บทความนี้ก็ค้างๆหน่วงๆเป็นบางช่วง)

        • ช่อง USB ไม่สามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์อย่างเช่น Smartphone ได้ เพราะว่ากระแสน้อยเกิน ถึงจะชาร์จได้ก็แทบจะชาร์จไม่ขึ้น แต่ก็เพียงสำหรับจ่ายกระแสเลี้ยงอุปกรณ์ที่มาต่อ



Surface 2 กับ Android Tablet อย่างไหนดีกว่ากัน?

        สำหรับจุดยืนของ Surface 2 น่าจะเป็นการใช้ทำงานเป็นหลักมากกว่า แต่ก็ดูเหมือนครึ่งๆกลางๆ เพราะว่าไม่สามารถทำได้แบบรุ่น Pro

        ถ้าต้องการเอาไปใช้ในเชิง Entertainment อย่างการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง อันนี้บอกได้เลยว่า Android Tablet หรือ iPad ตอบโจทย์ได้ดีกว่า แต่ถ้าต้องการใช้ทำงานเอกสาร หรืออื่นๆที่ต้องพิมพ์อยู่ประจำ ก็บอกได้เลยว่า Surface นี่แหละที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า

       เพราะเจ้าของบล็อกก็มีทั้ง Surface 2 ตัวนี้และ Nexus 10 อยู่ ทำให้รู้ข้อดีข้อเสียต่างกันไป เวลาเล่นเกมส์ก็จะเล่นบน Nexus 10 แทน แต่ถ้าทำงานหรือเอาไปใช้งานข้างนอกก็จะพก Surface 2 ไปแทน ส่วนการดูหนังจะเครื่องไหนก็ได้เหมือนกัน (แต่ Nexus 10 ลำโพงคู่หน้าสะใจกว่า) และการนำไปใช้งานข้างนอกก็มักจะเป็นการเข้าเว็ปเป็นหลัก และบ่อยครั้งต้องใช้ Team Viewer ซึ่งทั้ง Surface 2 และ Nexus 10 ก็มี แต่ว่า Surface 2 ตอบโจทย์ได้ดีกว่าตรงที่มี Type Cover และใช้งาน Mouse ได้ง่ายกว่า เพราะถึงแม้ว่า Nexus 10 จะต่อได้เหมือนกัน แต่ถ้าผู้ที่หลงเข้ามาอ่านเคยใช้คีย์บอร์ดแยกก็จะรู้กันดีกว่าระบบ Android พิมพ์ไทยบนคีย์บอร์ดแยกไม่ได้ ทำให้ต้องวุ่นวายโหลดแอปพลิเคชันคีย์บอร์ดเพิ่ม และการใช้งานเม้าส์บนระบบ Android ก็ไม่ค่อยถนัดซักเท่าไร เนื่องจาก UX & UI บนนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานด้วยการสัมผัส (Touch) หน้าจอเป็นหลัก (นึกภาพว่าต้องลากเม้าส์ไปกดปุ่ม Home เพื่อออกจากแอปพลิเคชันดูสิ)

         ดังนั้นจึงควรถามตัวเองก่อนว่าซื้อมาใช้ทำอะไร และถ้าจะใช้ทำงานจริงๆแนะนำให้เป็น Surface รุ่น Pro ไปเลยจะดีกว่า เพื่อให้สามารถตอบรับการทำงานได้ดียิ่งกว่ารุ่น RT แต่ถ้าทำงานจุกจิกอย่างเช่น Word Excel หรือ Power Point และเข้าเว็ปด้วย IE เท่านั้น การซื้อรุ่น RT ก็ถือว่าเพียงพอแล้วเช่นกัน (ที่ไม่เพียงพอกับเจ้าของบล็อกเพราะอยากเขียนโปรแกรมและทำกราฟฟิคบนนี้ด้วย)



แล้วถ้าเป็น Surface Pro 3 กับ Macbook Air ล่ะ?

        อันนี้ก็แล้วแต่ชอบเลย จะเป็นสาวก Microsoft หรือ Apple เพราะทั้งสองตัวนี้ทำมาเพื่อเข่นฆ่ากันโดยเฉพาะ ซึ่งการซื้อ Surface Pro 3 ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะว่าคุณภาพมันก็สมกับราคา และเหมาะกับคนที่ทำงานในฝั่ง Microsoft เป็นหลัก แต่ถ้างานพวกกราฟฟิคบน Macbook Air จะทำงานได้แจ่มกว่านะ XD

        Choose your side, Microsoft or Apple.



ทิ้งท้ายก่อนจบบทความ

        เป็นบทความรีวิวที่ใช้เวลาทำนานมาก เพราะดันกระแดะลองของอยากจะลองทำบทความรีวิวบน Surface 2 ดู ซึ่งทำให้ตรัสรู้ได้ว่า ถ้าทำบน Notebook ที่ใช้อยู่ประจำ ป่านนี้ก็คงเสร็จไปนานแล้ว นี่ใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะเสร็จเป็นบทความ

        และล่าสุด Surface 2 ของเจ้าของบล็อกก็มีราคีติดเครื่องเรียบร้อยแล้ว โดยเรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นเจ้าของบล็อกต้องแบกเจ้า Surface 2 ไปด้วยเผื่อทำงาน แล้วได้แวะ Terminal 21 เพื่อหาซองใส่ตัวเครื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะยังไม่ถูกใจ และขากลับก็ดันฝนตกหนัก เลยต้องเอา Surface 2 ซุกไว้ในเสื้อแล้ววิ่งหาที่หลบฝน แล้วมาพบทีหลังว่าด้านข้างเครื่องไปขูดกับหัวเข็มขัดจนเป็นรอยดังภาพ...



        และสุดท้ายอยากจะบอกว่า

        ต้องกด Home + Volume Down เพื่อ Print Screen นะเออ